หุ้นไทยแนวโน้มดัชนีเช้าแกว่งตัวขึ้นตอบรับเงินเฟ้อสหรัฐต่ำคาด หวังเฟดคงดอกเบี้ย SET ตลาดหุ้น ตลาดหุ้นไทย หุ้นไทย อินโฟเควสท์
นักวิเคราะห์ฯ คาดตลาดหุ้นไทยวันนี้แกว่งตัวขึ้น ขานรับเงินเฟ้อสหรัฐออกมาชะลอมากกว่าตลาดคาด ส่งผลตลาดคาดหวังเห็นเฟดคงดอกเบี้ยและส่งสัญญาณคงดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ ประกอบกับปัจจัยบวกจากจีน หลังปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ระยะสั้น หนุน Sentiment เศรษฐกิจจีนและภูมิภาค พร้อมให้แนวต้าน 1,570-1,575 จุด แนวรับ 1,550-1,555 จุดรองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.
ขณะเดียวกันมีปัจจัยหนุนจากจีนที่ใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินในการลดดอกเบี้ยเงินกู้ระยะสั้น ช่วยหนุนการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน และ Sentiment ของเศรษฐกิจในภูมิภาค ส่วนตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เปิดมาส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้น
ประเทศไทย ข่าวล่าสุด, ประเทศไทย หัวข้อข่าว
Similar News:คุณยังสามารถอ่านข่าวที่คล้ายกันนี้ซึ่งเรารวบรวมจากแหล่งข่าวอื่น ๆ ได้
ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวก จับตาผลการประชุมธนาคารกลางสัปดาห์นี้ : อินโฟเควสท์ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกในวันจันทร์ (12 มิ.ย.) นำโดยดัชนี DAX ของตลาดหุ้นเยอรมนีซึ่งได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นอาดิดาส ขณะที่นักลงทุนมุ่งความสนใจไปที่การประชุมของธนาคารกลางต่าง ๆ ในสัปดาห์นี้ หุ้นอาดิดาสของเยอรมนีพุ่งขึ้น 5.5% หลังบริษัทเบิร์นสไตน์ปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุน โดยคาดว่าส่วนแบ่งตลาดของอาดิดาสในสหรัฐจะเพิ่มขึ้น หุ้นหลุยส์วิตตอง และหุ้นแอร์เมส ปรับตัวขึ้น 1.8% และ 3% ตามลำดับ นักลงทุนจับตาผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด), ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในสัปดาห์นี้ ตลาดคาดว่าเฟดจะตรึงอัตราดอกเบี้ยหลังเสร็จสิ้นการประชุมในวันพุธนี้ ขณะที่คาดว่า ECB จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ในวันพฤหัสบดีนี้เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ หุ้นยูบีเอสปรับตัวขึ้น 0.8% หลังเสร็จสิ้นการเทกโอเวอร์เครดิต สวิส หุ้นโนวาร์ติส ปรับตัวขึ้น 0.7% หลังเปิดเผยว่าได้ตกลงซื้อกิจการของบริษัทชีนุก เทราพิวติกส์ (Chinook Therapeutics) ซึ่งเป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีชีวภาพของสหรัฐเป็นวงเงินราว 3.5 พันล้านดอลลาร์ หุ้นโอคาโด พุ่งขึ้น 3.6% หลังบีเอ็นพีพาริบาส์เอ็กเซนปรับเพิ่มคำแนะนำลงทุนในหุ้นโอคาโด โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (13 มิ.ย. […]
อ่านเพิ่มเติม »
ดาวโจนส์ปิดบวก 189.55 จุด รับแรงซื้อหุ้นกลุ่มเทคโนฯ : อินโฟเควสท์ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันจันทร์ (12 มิ.ย.) ขณะที่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดที่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2565 โดยได้ปัจจัยหนุนจากแรงซื้อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ขณะที่นักลงทุนจับตาการเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐ และผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในสัปดาห์นี้ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้นนำตลาด โดยหุ้นแอปเปิ้ล และหุ้นไมโครซอฟท์ ต่างก็พุ่งขึ้นกว่า 1.5% และนับตั้งแต่ต้นปีนี้ ราคาหุ้นแอเปิ้ลพุ่งขึ้น 41% และหุ้นไมโครซอฟท์พุ่งขึ้น 38% ส่วนหุ้นตัวอื่น ๆ ในกลุ่มเทคโนโลยีนั้น หุ้นเทสลา พุ่งขึ้น 2.2% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นติดต่อกัน 12 วันทำการ และทำสถิติปิดในแดนบวกที่ยาวนานที่สุดของเทสลา ขณะที่หุ้นออราเคิล ทะยานขึ้น 5.5% ก่อนที่บริษัทจะเปิดเผยผลประกอบการ ส่วนหุ้นอะเมซอน และหุ้นอัลฟาเบท พุ่งขึ้น 2.54% และ 1.15% ตามลำดับ หุ้นบรอดคอม ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทผลิตชิปรายใหญ่ของสหรัฐ พุ่งขึ้น 6.3% หลังจากสำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า บรอดคอมมีแนวโน้มที่จะได้รับอนุมัติจากหน่วยงานต่อต้านการผูกขาดของสหภาพยุโรป (EU) ให้เข้าซื้อกิจการบริษัทวีเอ็มแวร์ (VMware) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการคลาวด์คอมพิวติ้ง […]
อ่านเพิ่มเติม »
ลอนจีเผยโฉมโมดูลใหม่ 'Hi-MO 7' ตอบรับความต้องการอุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ : อินโฟเควสท์ลอนจี (LONGi) ในฐานะ “เจ้าของสถิติ”องค์กรที่มีศักยภาพสูงสุดในอุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ Hi-MO7 ซึ่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้พัฒนาขึ้นด้วยเทคโนโลยี HPDCและยังคงรักษาขนาดโมดูลตามมาตรฐาน M10 พร้อมด้วยกำลังการผลิตไฟที่สูงถึง 580 วัตต์ และประสิทธิภาพการแปลงพลังงานที่ 22.5% การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ครั้งนี้ คุณหลี่ เช่าถัง ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์ของลอนจี ได้อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับข้อดีหลัก ๆ ของโมดูล Hi-MO 7 ที่พัฒนาขึ้นจากเทคโนโลยี HPDC โดยเน้นย้ำว่า โมดูลลอนจี Hi-MO 7 ได้รับการประเมิน พัฒนา และทดสอบมาอย่างยาวนาน ซึ่งนอกจากจะเป็นรุ่นที่มีประสิทธิภาพสูงแล้ว คุณภาพของผลิตภัณฑ์ยังคงรักษามาตรฐานชั้นนำระดับโลกได้อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีความน่าเชื่อถือในระยะยาว ในการช่วยลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าต่อหน่วยปรับเฉลี่ย (LCOE)ของโครงการไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดเมกะโปรเจค เช่น ในทะเลทรายโกบี ได้จำนวนมหาศาล จากการยกระดับการวงจรชีวิตของผลิตพลังงานทั้งหมด โมดูล Hi-MO 7 ที่เปิดตัวขึ้นในครั้งนี้ เป็นผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ล่าสุด ที่ลอนจีพัฒนาขึ้นโดยอาศัยเทคโนโลยีเซลล์ HPDC ประสิทธิภาพสูง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมสำคัญที่เรียกว่า “หลักการคิดต่อยอดจากหลักการแรก” (first principle thinking) เดนนิส […]
อ่านเพิ่มเติม »
นักวิจัยคาดจีนและอินเดียเสี่ยงได้รับผลกระทบมากที่สุดจากภาวะขาดแคลนน้ำ : อินโฟเควสท์สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า ภาวะขาดแคลนน้ำถูกมองว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุดและมีแนวโน้มที่จะเป็นองค์ประกอบของวิกฤตสภาพภูมิอากาศในวงกว้างที่สร้างผลกระทบมากที่สุด โดยกลุ่มนักวิจัยระบุว่า ประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ในเอเชีย เช่น อินเดียและจีนจะได้รับผลกระทบมากที่สุดจากภาวะขาดแคลนน้ำ ทั้งนี้ นายอารูนาบา โกช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสภาพลังงาน สิ่งแวดล้อม และน้ำ (CEEW) ซึ่งเป็นสถาบันด้านนโยบายในอินเดียกล่าวกับสำนักข่าวซีเอ็นบีซีนอกรอบการประชุม “Ecosperity Week” ประจำปี 2566 ณ ประเทศสิงคโปร์เมื่อวันอังคารที่ 6 มิ.ย.ว่า ทวีปเอเชียนั้นเป็นศูนย์กลางด้านอุตสาหกรรม ซึ่งกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นเขตเมืองเร็วที่สุด โดยสิ่งนี้ทำให้มีความต้องการน้ำปริมาณมหาศาล “ไม่ใช่เพียงแค่อุตสาหกรรมเก่าแก่ เช่นการผลิตเหล็กกล้า แต่อุตสาหกรรมใหม่ ๆ เช่นการผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์และการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดก็ต้องการน้ำในปริมาณมากเช่นเดียวกัน” นายโกชกล่าว พร้อมระบุเสริมว่า “เอเชียถือเป็นปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจโลกและอุตสาหกรรมเหล่านี้เป็นปัจจัยขับเคลื่อนใหม่สำหรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ” อุปสงค์น้ำจืดมีแนวโน้มที่จะพุ่งแซงอุปทานประมาณ 40% – 50% ภายในปี 2573 โดยนายโกชเตือนว่า ภาวะขาดแคลนน้ำไม่ควรถูกมองว่าเป็นปัญหาเฉพาะภาคส่วน แต่เป็นปัญหาต่อเศรษฐกิจโดยรวม ธนาคารโลกระบุว่า อินเดีย ซึ่งปัจจุบันเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก จะได้รับผลกระทบมากที่สุดจากภาวะขาดแคลนน้ำ โดยอินเดียมีประชากรคิดเป็นสัดส่วน 18% ของประชากรทั้งโลก แต่มีทรัพยากรน้ำเพียงพอสำหรับประชากรในประเทศเพียง 4% เท่านั้น ทำให้อินเดียกลายเป็นประเทศที่เผชิญแรงกดดันจากน้ำมากที่สุดในโลก สถาบันวิจัยโลวี (Lowy […]
อ่านเพิ่มเติม »
มท.1 โยนรัฐบาลใหม่เคลียร์หนี้สายสีเขียว : อินโฟเควสท์พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย กล่าวว่า กรณีที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) เตรียมจ่ายหนี้ 2 หมื่นล้านบาทให้กับ บมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (BTSC) ซึ่งเป็นผู้รับสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวนั้น ขณะนี้เป็นเรื่องที่ทาง กทม.พยายามจะหาแนวทางที่จะดูแลเรื่องนี้อยู่หลังจากที่ได้ทำเรื่องมาถึงคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้ว แต่ ครม.คงไม่สามารถจะพิจารณาได้ตามระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งคงจะต้องรอให้รัฐบาลใหม่พิจารณา ปัญหาหลักคือ จะทำวิธีใดก็ได้แต่ติดปัญหาเรื่องหนี้สินที่มีอยู่ จะใช้งบประมาณจากที่ไหน ซึ่งกทม.คงไม่มี เมื่อไม่มีก็เหลือหนทางที่จะทำได้คือให้เอกชนทำ แต่ต้องเสนอให้คณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (PPP) พิจารณา ซึ่งต้องรออีกหลายปีกว่าจะทำได้ และกว่าจะเป็นสมบัติของ กทม.ก็ในปี 2573 ถึงจะเริ่มใช้ได้ และระหว่างนี้หนี้สินในแต่ละปีจะใช้เงินเท่าไหร่ ก็เหลือทางออกทางเดียวคือ เป็นหน้าที่ของรัฐบาลใหม่ที่จะพิจารณา นอกจากนี้ ภาระหนักขณะนี้จึงตกอยู่กับบริษัทฯ เพราะยังต้องเดินรถให้บริการประชาชน ขณะเดียวกัน กทม.ก็ยังไม่มีความสามารถที่จะจ่ายเรื่องหนี้สิน แต่ก็คิดว่าทางผู้ว่าฯ กทม.ต้องมีการหาทางแก้ไขอยู่แล้ว ด้านพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ปฏิเสธที่จะตอบคำถามเรื่องการแก้ปัญหาภาระหนี้รถไฟฟ้าสายสีเขียว โดยกล่าวเพียงว่า “ให้เป็นเรื่องของหน่วยงานเขาไปแก้ปัญหา” ส่วนปัญหาหุ้นไอทีวี นายกรัฐมนตรี โบกมือคล้ายจะปฏิเสธ ก่อนจะบอกว่า “เรื่องที่ไม่มีสาระ อย่ามาถาม” […]
อ่านเพิ่มเติม »
นายกฯ ติดตามความก้าวหน้าเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ฟิวชันเครื่องแรกของไทย : อินโฟเควสท์นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ รมว.อุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พร้อมด้วยนายธวัชชัย อ่อนจันทร์ ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) และคณะผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เพื่อประชาสัมพันธ์และรายงานความก้าวหน้าเกี่ยวกับเครื่องโทคาแมค TT-1 (Thailand Tokamak I : TT-1) เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ฟิวชันเครื่องแรกของไทย ทั้งนี้ สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สทน.) ได้ทำการพัฒนาเครื่องโทคาแมค ชิ้นส่วนของเครื่องโทคาแมค HT-6M ที่ได้รับมอบจากสถาบันพลาสมาฟิสิกส์ ประเทศจีน (ASIPP) เพื่อใช้ศึกษาวิจัยพลาสมาอุณหภูมิสูงในการเรียนรู้เทคโนโลยีอวกาศและฟิวชัน ซึ่งเป็นพลังงานสะอาดสำหรับผลิตกระแสไฟฟ้าในอนาคต และนวัตกรรมที่ได้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในด้านอุตสาหกรรม การเกษตร และด้านการแพทย์ ซึ่งจากการพัฒนาเครื่องโทคาแมคนี้ จะทำให้ประเทศมีองค์ความรู้และสามารถสนับสนุนงานด้านวิศวกรรมระบบรางของไทยในอนาคตได้อีกด้วย “นายกรัฐมนตรีขอบคุณคณะทำงาน ทีมนักวิจัยพัฒนา และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคน ทุกฝ่าย ชื่นชมศักยภาพบุคลากรไทย ย้ำให้มีการพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ ๆ อยู่เสมอ พร้อมต่อยอดงานวิจัย และสร้างนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์สูงสุดกับคนไทย รวมทั้งการบูรณาการความร่วมมือทุกภาคส่วน เพื่อร่วมสร้างความมั่นคงทางพลังงาน […]
อ่านเพิ่มเติม »