วิกฤตแบงก์ล้มฉุดยอดปล่อยกู้ในภาคธนาคารสหรัฐลดฮวบช่วงท้ายเดือนมี.ค. : อินโฟเควสท์

ประเทศไทย ข่าว ข่าว

วิกฤตแบงก์ล้มฉุดยอดปล่อยกู้ในภาคธนาคารสหรัฐลดฮวบช่วงท้ายเดือนมี.ค. : อินโฟเควสท์
ประเทศไทย ข่าวล่าสุด,ประเทศไทย หัวข้อข่าว
  • 📰 InfoQuestNews
  • ⏱ Reading Time:
  • 9 sec. here
  • 2 min. at publisher
  • 📊 Quality Score:
  • News: 7%
  • Publisher: 68%

การปล่อยกู้ของธนาคารสหรัฐลดลงมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ในช่วง 2 สัปดาห์สุดท้ายของเดือนมี.ค. โดยบ่งชี้ถึงภาวะสินเชื่อตึงตัวหลังการล้มละลายของธนาคารในสหรัฐในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจ ทั้งนี้ การปล่อยกู้ของธนาคารพาณิชย์ในสหรัฐลดลงเกือบ 1.05 แสนล้านดอลลาร์ในช่วง 2 สัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 29 มี.ค. ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดเมื่อพิจารณาจากข้อมูลของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ย้อนหลังไปจนถึงปี 2516 โดยการปล่อยกู้ที่ลดลงในสัปดาห์ล่าสุดจำนวนมากกว่า 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์นั้นส่วนใหญ่เป็นผลจากการปล่อยเงินกู้ที่ลดลงของบรรดาธนาคารขนาดเล็ก การปล่อยเงินกู้ที่ลดลงในช่วงครึ่งหลังของเดือนมี.ค.นั้นส่งผลกระทบกับเงินกู้ประเภทต่าง ๆ อาทิ เงินกู้เพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ รวมถึงเงินกู้เพื่อธุรกิจและอุตสาหกรรม สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า การปล่อยกู้ที่ลดลงนั้นเกิดขึ้นหลังจากการล่มสลายของธนาคารซิลิคอน วัลเลย์ แบงก์ (SVB) และธนาคารซิกเนเจอร์ แบงก์ (SB) เมื่อวันพฤหัสบดี (6 เม.ย.) ดัชนีภาวะสินเชื่อของสมาคมธนาคารอเมริกัน (American Bankers Association) ลดลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เกิดโรคโควิด-19 ระบาด ซึ่งบ่งชี้ว่าบรรดานักเศรษฐศาสตร์ด้านการธนาคารคาดว่า ภาวะสินเชื่อจะอ่อนแอลงในช่วง 6 เดือนข้างหน้า ซึ่งส่งผลให้ธนาคารต่าง ๆ มีแนวโน้มที่จะเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นในการปล่อยสินเชื่อ นอกจากนี้ รายงานของเฟดที่เปิดเผยเมื่อวันศุกร์ (7 เม.ย.) […]

การปล่อยกู้ของธนาคารสหรัฐลดลงมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ในช่วง 2 สัปดาห์สุดท้ายของเดือนมี.ค. โดยบ่งชี้ถึงภาวะสินเชื่อตึงตัวหลังการล้มละลายของธนาคารในสหรัฐในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจ

การปล่อยเงินกู้ที่ลดลงในช่วงครึ่งหลังของเดือนมี.ค.นั้นส่งผลกระทบกับเงินกู้ประเภทต่าง ๆ อาทิ เงินกู้เพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ รวมถึงเงินกู้เพื่อธุรกิจและอุตสาหกรรม

เราได้สรุปข่าวนี้มาให้อ่านอย่างรวดเร็ว หากสนใจข่าว สามารถอ่านฉบับเต็มได้ที่นี่ อ่านเพิ่มเติม:

InfoQuestNews /  🏆 7. in TH

ประเทศไทย ข่าวล่าสุด, ประเทศไทย หัวข้อข่าว

Similar News:คุณยังสามารถอ่านข่าวที่คล้ายกันนี้ซึ่งเรารวบรวมจากแหล่งข่าวอื่น ๆ ได้

FAO เผยดัชนีราคาอาหารโลกมี.ค.ปรับตัวลง 12 เดือนติด แต่ราคาน้ำตาล-เนื้อสัตว์ยังพุ่ง : อินโฟเควสท์FAO เผยดัชนีราคาอาหารโลกมี.ค.ปรับตัวลง 12 เดือนติด แต่ราคาน้ำตาล-เนื้อสัตว์ยังพุ่ง : อินโฟเควสท์องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) เปิดเผยว่า ดัชนีราคาอาหารทั่วโลกเดือนมี.ค.ปรับตัวลดลงเป็นเดือนที่ 12 ติดต่อกัน และลดลง 20.5% จากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อปีที่แล้ว สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ดัชนีราคาอาหารทั่วโลกเดือนมี.ค.โดยเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 126.9 จุด ลดลงจากระดับของเดือนก.พ.ที่ 129.7 จุด ถือเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค. 2564 FAO ให้เหตุผลที่ราคาอาหารโลกปรับตัวลงว่าเนื่องมาจากมีการผลิตอาหารที่มากพอ ประกอบกับความต้องการนำเข้าลดลง ตลอดจนมีการขยายข้อตกลงการส่งออกธัญพืชของยูเครนผ่านทางทะเลดำ FAO กล่าวว่าดัชนีที่ลดลงสะท้อนถึงราคาที่ลดลงในกลุ่มธัญพืช, น้ำมันพืช และผลิตภัณฑ์นม ซึ่งช่วยหักล้างกับราคาน้ำตาลและเนื้อสัตว์ที่เพิ่มขึ้น นายแม็กซิโม โตเรโร หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ FAO ระบุในแถลงการณ์ว่า “แม้ราคาอาหารทั่วโลกจะลดลง แต่ก็ยังคงอยู่ในระดับสูงมากและยังคงแพงขึ้นในตลาดภายในบางประเทศ อันเป็นอุปสรรคเพิ่มเติมต่อความมั่นคงทางอาหาร” “โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศกำลังพัฒนาที่มีการนำเข้าอาหารสุทธิ ซึ่งถูกซ้ำเติมจากการอ่อนค่าของสกุลเงินเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐหรือยูโร รวมถึงภาระหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้น” นายโตเรโรกล่าวเสริม ทั้งนี้ ดัชนีราคาธัญพืชของ FAO ในเดือนมี.ค.ปรับตัวลง 5.6% เมื่อเทียบรายเดือน โดยข้าวสาลีลดลง 7.1% ข้าวโพดลดลง 4.6% และข้าวลดลง 3.2% ด้านดัชนีราคาน้ำมันพืชในเดือนมี.ค.ลดลง 3.0% เมื่อเทียบรายเดือน และลดต่ำกว่า […]
อ่านเพิ่มเติม »

คาดเฟดมีโอกาส 50-50 ขึ้น-คงดอกเบี้ยเดือนพ.ค. จับตาตัวเลขจ้างงานคืนนี้ : อินโฟเควสท์คาดเฟดมีโอกาส 50-50 ขึ้น-คงดอกเบี้ยเดือนพ.ค. จับตาตัวเลขจ้างงานคืนนี้ : อินโฟเควสท์นักลงทุนคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีโอกาสใกล้เคียงกันราว 50-50 ที่จะประกาศคงอัตราดอกเบี้ย หรือปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมครั้งต่อไปในเดือนพ.ค. ขณะที่ตลาดจับตาตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรในคืนนี้ ซึ่งจะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจนโยบายอัตราดอกเบี้ยของเฟด ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 49.6% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.75-5.00% ในการประชุมวันที่ 2-3 พ.ค. และให้น้ำหนัก 50.4% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% กระทรวงเกษตรสหรัฐจะเปิดเผยรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรในวันนี้ โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานจะเพิ่มขึ้นเพียง 238,000 ตำแหน่งในเดือนมี.ค. หลังจากพุ่งขึ้น 311,000 ตำแหน่งในเดือนก.พ. ขณะที่คาดว่าอัตราว่างงานจะทรงตัวที่ระดับ 3.6% ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรในวันนี้ ถือเป็นข้อมูลตลาดแรงงานตัวสุดท้ายของสหรัฐในสัปดาห์นี้ หลังการเปิดเผยตัวเลขการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS), ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนจาก ADP, ตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ซึ่งล้วนบ่งชี้การชะลอตัวของตลาดแรงงานสหรัฐ โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (07 เม.ย. 66) Facebook iconFacebookTwitter iconTwitterLINE […]
อ่านเพิ่มเติม »

ยอดพักโรงแรมมี.ค.ทรงตัว คาด Q2/66 ชะลอ หลังหมดฤดูกาลท่องเที่ยว : อินโฟเควสท์ยอดพักโรงแรมมี.ค.ทรงตัว คาด Q2/66 ชะลอ หลังหมดฤดูกาลท่องเที่ยว : อินโฟเควสท์ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการที่พักแรม เดือนมี.ค.66 พบว่า อัตราการเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ 66% ทรงตัวจากเดือนก่อน โดยโรงแรมที่รับนักท่องเที่ยวไทยเป็นหลัก จะมีอัตราการเข้าพักปรับดีขึ้นเล็กน้อย ตามการใช้สิทธิโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 5 ส่วนนักท่องเที่ยวจีนในช่วงไตรมาส 1/66 กลับเข้ามาไม่มากนัก แต่ไตรมาส 2/66 มีแนวโน้มปรับดีขึ้น แต่อาจจะยังมีสัดส่วนน้อยกว่า 40% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 พร้อมคาดการณ์ว่า อัตราการเข้าพักในเดือนเม.ย. จะเฉลี่ยอยู่ที่ 60% โดยธุรกิจโรงแรมส่วนใหญ่เห็นว่าในช่วงไตรมาส 2/66 มีแนวโน้มชะลอลงจากไตรมาส 1/66 หลังหมดฤดูกาลท่องเที่ยว ทั้งนี้ ผู้ประกอบการโรงแรมส่วนใหญ่ 62% ยังเผชิญปัญหาขาดแคลนแรงงาน โดยในจำนวนนี้มี 25% ที่มีปัญหาขาดแคลนแรงงาน ซึ่งส่งผลกระทบทั้งจำนวนลูกค้า และคุณภาพบริการ โดยเฉพาะโรงแรมในภาคใต้ และภาคกลางที่มีอัตราการเข้าพักอยู่ในระดับสูง ขณะที่โรงแรมในภาคตะวันออกส่วนใหญ่ กระทบคุณภาพการให้บริการเป็นหลัก สำหรับราคาห้องพัก พบว่ามีโรงแรมบางส่วนปรับขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโรงแรมระดับ 5 ดาวขึ้นไป ขณะที่โรงแรมไม่เกินระดับ 4 ดาว ยังปรับขึ้นราคาได้จำกัด ส่วนมาตรการที่ต้องการให้ภาครัฐเข้ามาช่วยเหลือ ประกอบด้วย […]
อ่านเพิ่มเติม »

กกร.เตรียมขอ 'นายกฯ' ทบทวนขึ้นค่าไฟ เดือน พ.ค.-ส.ค.หน้าร้อนกับค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น เป็นของคู่กัน โดยเฉพาะปีนี้ที่ประชุม กกพ. ครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 22 มี.ค.66 มีมติรับทราบผลการรับฟังความคิดเห็นค่าเอฟที หรือค่าไ
อ่านเพิ่มเติม »

อินเดีย-ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้จ่อถูกกระทบหนักสุดหากราคาน้ำมันพุ่งแตะ $100 : อินโฟเควสท์อินเดีย-ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้จ่อถูกกระทบหนักสุดหากราคาน้ำมันพุ่งแตะ $100 : อินโฟเควสท์นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า อินเดีย ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ จะเป็น 3 ประเทศที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด หากราคาน้ำมันพุ่งขึ้นแตะระดับ 100 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส ประกาศลดกำลังการผลิตน้ำมันครั้งล่าสุด เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (2 เม.ย.) กลุ่มโอเปกพลัสประกาศลดกำลังการผลิตน้ำมัน 1.16 ล้านบาร์เรล/วันจนถึงสิ้นปี 2566 ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้กับตลาด เนื่องจากก่อนหน้านี้มีกระแสคาดการณ์ว่าโอเปกพลัสจะคงนโยบายการผลิตที่ระดับเดิมไปจนถึงสิ้นปีนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์จำนวนมากคาดการณ์ว่ามาตรการล่าสุดของโอเปกพลัสจะส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบเบรนท์พุ่งขึ้นแตะระดับ 100 ดอลลาร์/บาร์เรลในช่วงสิ้นปีนี้ นายปาเวล มอลชานอฟ นักวิเคราะห์จากวาณิชธนกิจ Raymond James กล่าวว่า “ไม่ใช่สหรัฐที่จะได้รับผลกระทบหากราคาน้ำมันพุ่งแตะระดับ 100 ดอลลาร์/บาร์เรล แต่เป็นประเทศที่ไม่มีแหล่งปิโตรเลียมและต้องพึ่งพาการนำเข้าน้ำมัน ซึ่งประเทศเหล่านี้รวมถึงอินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และเยอรมนี ขณะที่นายเฮนนิง กลอยสเต็น นักวิเคราะห์จาก Eurasia Group แสดงความเห็นไปในทางเดียวกันว่า “ภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบจากการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันและการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมัน ได้แก่ประเทศที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันในปริมาณมาก โดยเฉพาะประเทศในเอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ “ส่วนอินเดียนั้น เป็นประเทศที่ใช้น้ำมันมากเป็นอันดับ 3 […]
อ่านเพิ่มเติม »

IMF หวั่นปมขัดแย้งเทคโนโลยีจีน-สหรัฐกระทบการลงทุน ฉุด GDP โลกวูบ 2% : อินโฟเควสท์IMF หวั่นปมขัดแย้งเทคโนโลยีจีน-สหรัฐกระทบการลงทุน ฉุด GDP โลกวูบ 2% : อินโฟเควสท์กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่า ความตึงเครียดทางการเมืองที่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งความขัดแย้งด้านเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐและจีน จะส่งผลกระทบต่อการลงทุนในต่างประเทศ และจะทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของโลกได้รับความเสียหายในอัตราส่วนสูงถึง 2% ในระยะยาว IMF เปิดเผยในรายงานเมื่อวันพุธ (5 เม.ย.) โดยระบุว่า ขณะที่บริษัทเอกชนและเจ้าหน้าที่ฝ่ายกำหนดนโยบายทั่วโลกกำลังประเมินแนวทางการพลิกฟื้นห่วงโซ่อุปทาน ด้วยการเคลื่อนย้ายฐานการผลิตกลับมายังประเทศของตนเองหรือย้ายไปยังประเทศต่าง ๆ ที่มีความน่าเชื่อถือ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ทั้งนี้ IMF ระบุว่า ร่างกฎหมายหลายฉบับที่ทำให้ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐและจีนทวีความรุนแรงขึ้นนั้น รวมถึงร่างกฎหมาย Chips and Science Act ของสหรัฐ และเมื่อไม่นานมานี้ ญี่ปุ่นประกาศว่าจะขยายขอบเขตมาตรการจำกัดการส่งออกเทคโนโลยีการผลิตชิปที่ทันสมัย 23 ชนิด ซึ่งถือเป็นการเข้าร่วมกับสหรัฐในการสกัดไม่ให้จีนเข้าถึงชิปที่ทันสมัย โดย IMF กังวลว่ามาตรการเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อการลงทุนในประเทศกลุ่มตลาดเกิดใหม่และกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา สหรัฐพยายามผลักดันร่างกฎหมาย Chips and Science Act ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อจำกัดขีดความสามารถของจีนในการเข้าถึงชิประดับไฮเอนด์ซึ่งจีนอาจใช้ในการผลิตยุทโธปกรณ์ทางทหารที่ล้ำสมัย โดยรัฐบาลสหรัฐวิตกว่า จีนกำลังใช้ระบบซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ล้ำสมัยเพื่อปรับปรุงการคำนวณต่าง ๆ ในการออกแบบอาวุธ, การทดสอบอาวุธนิวเคลียร์, ระบบไฮเปอร์โซนิก และระบบขีปนาวุธอื่น ๆ รวมถึงเพื่อวิเคราะห์ผลการสู้รบ […]
อ่านเพิ่มเติม »



Render Time: 2025-03-24 21:15:39