ปลัดสธ.พร้อมขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล ระบุ30บาทพลัส สมดุลยกระดับบริการ-ภาระงาน หารือร่วมพัฒนาระบบเชื่อมโยงฐานข้อมูล รองรับบัตรประชาชนใบเดียว รักษาทุกที่
เมื่อวันที่ 12 ก.ย.2566 ที่ ศูนย์ประชุมและจัดแสดงสินค้า มลฑาทิพย์ ฮอลล์ จังหวัดอุดรธานี นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวในการเป็นประธานเปิดมหกรรมการจัดการความรู้จากบทเรียนโควิด 19 และโครงการประชุมวิชาการกระทรวงสาธารณสุข ประจำปี 2566 ภายใต้แนวคิด “ยกระดับสาธารณสุขไทยเพื่อสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืน” ว่า
3 ปีที่ทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยรับมือกับสถานการณ์โควิด19 เป็น 3 ปีที่มนุษยชาติเรียนรู้มากมายโดยเฉพาะ 5 เรื่อง คือ 1.รียนรู้ระบบสาธารณสุขมีความเข้มแข็ง เป็นเอกภาพ แต่มีจุดพัฒนาหลายเรื่อง โดยเฉพาะระบบการจัดการสาธารณสุขในชุมชนที่เป็นกลุ่มเปราะบาง โดยต้องนิยามใหม่ จากเดิมอยู่ตามชายขอบ ชายแดน แต่จากโควิดทำให้รู้ว่า กลุ่มเปราะบางในระบบการแพทย์ไม่เฉพาะชายแดน แต่ใจกลางเมืองหลวงเมืองใหญ่ เช่น ปัญหาส่วนใหญ่อยู่ใน กทม.
2.ความครอบคลุมทั่วถึงการให้บริการด้านการแพทย์และสาธารณสุข เรียนรู้เรื่องการใช้เทเลเมดิซีน โดยเฉพาะประเทศไทยมีจำนวนประชากรคนที่ใช้สมาร์ทโฟนครอบคลุมสูงมาก แทบจะทุกครัวเรือนจะมีสมาร์ทโฟน คนไม่มีน้อย การจะทำให้ครอบคลุมบริการแพทย์สาธารณสุข ให้ความรู้ประชาชนรับมือภัยสุขภาพยามปกติและฉุกเฉินคือเทคโนโลยีด้านดิจิทัลและเทเลเมดิซีน
3.ระบบการแพทย์และสาธารณสุข รมว.สธ.ฝากย้ำนโยบายของรัฐบาลและรัฐมนตรี เรื่อง การยกระดับ 30 บาทรักษาทุกโรคหรือหลักประกันสุขภาพ หรืออาจจะเรียก 30 บาทพลัส รอชื่อเป็นทางการอีกครั้ง กาารยกระดับการบริการ โดยเฉพาะการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค ควบคุมโรค รักษาพยาบาล และฟื้นฟู เป็นสิ่งต้องรีบดำเนินการในยุครัฐบาลใหม่
"หากอ่านแถลงการณ์นายกฯ จะเห็นคำหนึ่งมาพร้อมกัน การยกระดับบริการสุขภาพประชาชน ต้องคำนึงภาระงานบุคลากรต้องสมดุล ทำให้สมดุลและขับเคลื่อนไปข้างหน้า เป็นโจทย์ท้าทายของฝ่ายปฏิบัติที่ต้องรับนโยบายมาปฏิบัติ"นพ.โอภาสกล่าว