ยอดผู้เสียชีวิตจากเหมืองถ่านหินระเบิดในตุรกีเพิ่มเป็น 41 ราย : อินโฟเควสท์

ประเทศไทย ข่าว ข่าว

ยอดผู้เสียชีวิตจากเหมืองถ่านหินระเบิดในตุรกีเพิ่มเป็น 41 ราย : อินโฟเควสท์
ประเทศไทย ข่าวล่าสุด,ประเทศไทย หัวข้อข่าว
  • 📰 InfoQuestNews
  • ⏱ Reading Time:
  • 38 sec. here
  • 2 min. at publisher
  • 📊 Quality Score:
  • News: 18%
  • Publisher: 68%

ยอดผู้เสียชีวิตจาก เหมืองถ่านหิน ระเบิด ใน ตุรกี เพิ่มเป็น 41 ราย อินโฟเควสท์

ประธานาธิบดีเรเซป ตอยยิบ เออร์โดกัน ผู้นำตุรกี เปิดเผยว่า ยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุเหตุระเบิดเหมืองถ่านหินแห่งหนึ่งในจังหวัดบาร์ตินทางภาคเหนือของตุรกีเมื่อวันศุกร์ เพิ่มเป็น 41 รายแล้ว

เหตุระเบิดดังกล่าวเกิดขึ้นในวันศุกร์เวลาประมาณ 18.15 น. ตามเวลาท้องถิ่น ลึกลงไปใต้ดิน 300 เมตร ที่เหมืองของบริษัทอมาสรา ฮาร์ด โคล เอนเตอร์ไพรส์ ทำให้คนงาน 110 รายติดอยู่ในเหมืองดังกล่าว ก่อนจะช่วยออกมาได้แล้ว 58 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 11 ราย ปธน.เออร์โดกันกล่าวว่า คณะทำงานและฝ่ายตุลาการจะตรวจสอบสาเหตุของการระเบิดและดูว่ามีใครต้องรับผิดชอบกับเหตุการณ์ดังกล่าวหรือไม่

นายฟาติห์ ดอนเมซ รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานและทรัพยากรธรรมชาติเปิดเผยว่า จากข้อบ่งชี้เบื้องต้นนั้นเหตุระเบิดดังกล่าวเกิดจากก๊าชมีเทนซึ่งเป็นก๊าซติดไฟ ในเหมืองถ่านหินดังกล่าว สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ตุรกีเคยเผชิญภัยพิบัติทางเหมืองที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ในปี 2557 โดยเกิดไฟไหม้ในเหมืองถ่านหินในเมืองโซมา จังหวัดมานิซา เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 301 ราย

เราได้สรุปข่าวนี้มาให้อ่านอย่างรวดเร็ว หากสนใจข่าว สามารถอ่านฉบับเต็มได้ที่นี่ อ่านเพิ่มเติม:

InfoQuestNews /  🏆 7. in TH

ประเทศไทย ข่าวล่าสุด, ประเทศไทย หัวข้อข่าว

Similar News:คุณยังสามารถอ่านข่าวที่คล้ายกันนี้ซึ่งเรารวบรวมจากแหล่งข่าวอื่น ๆ ได้

เหมืองถ่านหินระเบิดในตุรกี พบผู้เสียชีวิตแล้ว 28 ราย : อินโฟเควสท์เหมืองถ่านหินระเบิดในตุรกี พบผู้เสียชีวิตแล้ว 28 ราย : อินโฟเควสท์นายฟาห์เรตติน โคกา รมว.สาธารณสุขของตุรกีเปิดเผยว่า เหตุระเบิดเหมืองถ่านหินแห่งหนึ่งในจังหวัดบาร์ตินทางภาคเหนือของตุรกีเมื่อวันศุกร์ (14 ต.ค.) ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 28 ราย ขณะที่ทีมกู้ภัยยังคงทำการค้นหาประชาชนที่ติดอยู่ใต้เหมืองดังกล่าว สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานการเปิดเผยของนายโคกาซึ่งระบุผ่านทางทวิตเตอร์ว่า คนงาน 11 คนจาก 58 คนที่ได้รับการช่วยเหลือนั้น ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล แต่ยังไม่มีความชัดเจนว่า มีประชาชนจำนวนมากเท่าใดที่ยังคงติดอยู่ใต้เหมือง เนื่องจากขณะเกิดเหตุระเบิดขึ้นนั้น มีคนงาน 110 คนกำลังทำงานอยู่ บรรดาเจ้าหน้าที่ระบุว่า จากข้อบ่งชี้เบื้องต้นนั้นเหตุระเบิดดังกล่าวเกิดจากก๊าชมีเทนซึ่งเป็นก๊าซติดไฟ (firedamp) ในเหมืองถ่านหินดังกล่าว โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (15 ต.ค. 65) FacebookTwitterLine
อ่านเพิ่มเติม »

ฮ่องกงตรวจพบโควิด XBB จากไทย 3 ราย นักไวรัสคาดปะปนในประเทศแล้ว แต่ยังตรวจไม่เจอฮ่องกงตรวจพบโควิด XBB จากไทย 3 ราย นักไวรัสคาดปะปนในประเทศแล้ว แต่ยังตรวจไม่เจอนักไวรัสวิทยาเผยฮ่องกงตรวจพบโควิด XBB 29 ราย มาจากไทย 3 ราย คาดมีผู้ติดเชื้อปะปนในประเทศแล้ว แต่อาจจะยังสุ่มตรวจไม่เจอ
อ่านเพิ่มเติม »

มหาวิทยาลัยจีน 7 แห่งติดโผ 100 อันดับชั้นนำของโลก : อินโฟเควสท์มหาวิทยาลัยจีน 7 แห่งติดโผ 100 อันดับชั้นนำของโลก : อินโฟเควสท์นิตยสารไทมส์ ไฮเออร์ เอดูเคชัน (THE) ของสหราชอาณาจักรเปิดเผยผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลกประจำปี 2566 (World University Rankings 2023) เมื่อวันพุธ (12 ต.ค.) พบว่า มีมหาวิทยาลัยจากจีนแผ่นดินใหญ่ 7 แห่งติด 100 อันดับแรก ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 6 แห่งเมื่อปีก่อน มหาวิทยาลัยชิงหัว และมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ติดอันดับที่ 16 และ 17 ตามลำดับ ขณะที่มหาวิทยาลัยอีก 5 แห่งได้แก่ มหาวิทยาลัยฟู่ตั้น, มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้เจียวทง, มหาวิทยาลัยเจ้อเจียง, มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศจีน และมหาวิทยาลัยหนานจิง ฟิล บาตี หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายความรู้ของนิตยสารฯ เปิดเผยว่า แม้กลุ่มมหาวิทยาลัยฝั่งตะวันตกจะยังคงครองอันดับต้น ๆ ในการจัดอันดับ ทว่ากลุ่มมหาวิทยาลัยเอเชียตะวันออกและตะวันออกกลางต่างก็กำลังไต่อันดับขึ้นมาเช่นกัน บาตีคิดว่า ความก้าวหน้าดังกล่าวถือเป็นข่าวดีสำหรับทั่วโลก พร้อมเสริมว่า การเข้าถึงการศึกษาคุณภาพสูงกำลังเปิดกว้างทั่วโลก และจะช่วยลดการเกิดภาวะสมองไหล (Brain Drain) หรือการย้ายถิ่นฐานของเหล่าหัวกะทิจากกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาลงได้ สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า การจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลกดังกล่าวครอบคลุมมหาวิทยาลัย …
อ่านเพิ่มเติม »

นักวิจัยเผยโควิด 6 สายพันธุ์ย่อยกำลังระบาด พบในไทยแล้ว 3 สาย ห่วงแทนที่ BA.5 : อินโฟเควสท์นักวิจัยเผยโควิด 6 สายพันธุ์ย่อยกำลังระบาด พบในไทยแล้ว 3 สาย ห่วงแทนที่ BA.5 : อินโฟเควสท์ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ โรงพยาบาลรามาธิบดี โพสต์ผ่านเพจเฟซบุ๊กระบุว่า นักวิจัยทั่วโลกได้ร่วมกันถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมของไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) มาตลอด 3 ปี เริ่มตั้งแต่ต้นกำเนิดจาก “ไวรัสอู่ฮั่น” ได้มีการวิวัฒนาการกลายพันธุ์เกิดเป็นทั้งสายพันธุ์หลักและสายพันธุ์ย่อย แตกกิ่งก้านมาทดแทนกันอย่างต่อเนื่อง (phylogenetic tree) จนล่าสุดเกิดเป็นโอไมครอน กลุ่มเพนตากอน อย่างน้อย 6 สายพันธุ์ย่อยฺ BQ.1.1, BF.7, BA.2.3.20, BA.2.75.2, BN.1, และ XBB จากฐานข้อมูลรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมโควิดโลก “GISAID” ในประเทศไทยพบโอไมครอนสายพันธุ์ย่อย (ณ วันที่ 13/10/2565) BF.7 จำนวน 2 ราย BN.1 จำนวน 3 ราย BA.2.75.2 จำนวน 5 ราย แม้จากข้อมูล GISAID จะพบการระบาดของแต่ละสายพันธุ์อยู่ในราว 200-2,000 ราย แต่มีการเพิ่มจำนวนมากกว่า 105% หรือเท่าตัวในทุกสัปดาห์ ทำให้ผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกคาดว่าจะระบาดมาแทนที่ BA.5 …
อ่านเพิ่มเติม »

กม.ห้ามใช้มือถือขณะขับรถบังคับใช้แล้ว ฝ่าฝืนปรับ 400-1,000 บาท : อินโฟเควสท์กม.ห้ามใช้มือถือขณะขับรถบังคับใช้แล้ว ฝ่าฝืนปรับ 400-1,000 บาท : อินโฟเควสท์น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับความปลอดภัยการใช้รถใช้ถนน เพื่อลดการสูญเสียและการบาดเจ็บของประชาชน ซึ่งในปัจจุบันผู้ขับขี่รถมีการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่หรือโทรศัพท์มือถือขณะขับขี่ โดยเป็นหนึ่งในสาเหตุให้เกิดการเกิดอุบัติเหตุจำนวนมาก ดังนั้นทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงมีประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้ขับขี่ขณะขับรถ พ.ศ. 2565 ซึ่งมีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 43 (9) แห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 ให้ผู้ขับขี่ใช้โทรศัพท์ขณะขับรถได้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการดังต่อไปนี้ 1.ใช้อุปกรณ์เชื่อมต่อแบบไร้สาย อุปกรณ์เสริมสำหรับการสนทนาหรือระบบกระจายเสียง จากเครื่องโทรศัพท์ โดยผู้ขับขี่ไม่ต้องถือหรือจับโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2.ใช้อุปกรณ์เสริมพิเศษสำหรับยึดหรือติดโทรศัพท์เคลื่อนที่ไว้กับส่วนหน้าของตัวรถทุกครั้ง ก่อนการขับรถ ทั้งนี้ ต้องไม่บดบังทัศนวิสัยหรือเสียความสามารถในการขับรถ กรณีผู้ขับขี่มีความจำเป็นต้องถือ จับ หรือสัมผัสโทรศัพท์เคลื่อนที่เพื่อใช้งานโดยประการใด ๆ ให้ผู้ขับขี่หยุดหรือจอดรถในสถานที่สำหรับจอดรถอย่างปลอดภัย ก่อนใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ดังกล่าว ทั้งนี้ผู้ฝ่าฝืนต้องระวางโทษปรับตั้งแต่ 400-1,000 บาท ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43(9) ที่กำหนดไว้ชัดเจนว่า ห้ามมิให้ผู้ขับขี่ใช้โทรศัพท์หรือเครื่องมือสื่อสารอื่นใดในขณะที่รถเคลื่อนที่ เว้นแต่การใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่โดยใช้อุปกรณ์เสริมสำหรับการสนทนา โดยผู้ขับขี่ไม่ต้องถือหรือจับโทรศัพท์เคลื่อนที่นั้น และเพื่อให้กฎหมายมีความทันต่อสถานการณ์ที่อาจเปลี่ยนไปในอนาคตและเพื่อติดตามผลสัมฤทธิ์ของการบังคับใช้กฎหมายเรื่องนี้ จึงได้กำหนดให้หลังจากประกาศฉบับนี้ใช้บังคับแล้วเป็นระยะเวลา 5 …
อ่านเพิ่มเติม »



Render Time: 2025-03-26 19:17:25