น้ำมัน WTI ปิดร่วง $1.69 เหตุดอลล์แข็ง-กังวลเฟดขึ้นดบ.ฉุดดีมานด์ ราคาน้ำมัน น้ำมันWTI อินโฟเควสท์
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 2% ในวันจันทร์ โดยตลาดถูกกดดันจากการแข็งค่าของดอลลาร์ รวมทั้งความกังวลที่ว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องของธนาคารกลางสหรัฐ อาจจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมันส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ส่งมอบเดือนมิ.ย. ลดลง 1.55 ดอลลาร์ หรือ 1.8% ปิดที่ 84.76 ดอลลาร์/บาร์เรล
ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.48% แตะที่ 102.1082 เมื่อคืนนี้ โดยการแข็งค่าของดอลลาร์ทำให้สัญญาน้ำมันดิบซึ่งกำหนดราคาเป็นดอลลาร์นั้น มีราคาแพงขึ้นและไม่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่น ๆ ตลาดยังได้รับปัจจัยลบจากความวิตกกังวลว่า การเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดอาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมัน โดยล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 88.1% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 5.00-5.25% ในการประชุมวันที่ 2-3 พ.ค. และให้น้ำหนักเพียง 11.9% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.75-5.00%
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังปรับตัวลงจากรายงานข่าวที่ว่า อิรักอาจจะกลับมาส่งออกน้ำมันจากเขตปกครองตนเองเคอร์ดิสถานผ่านทางตุรกีอีกครั้ง หลังจากที่ประกาศระงับการส่งออกน้ำมันราว 450,000 บาร์เรล/วันจากเคอร์ดิสถานผ่านทางตุรกีเมื่อไม่นานมานี้ นักลงทุนจับตารายงานสต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ของสหรัฐ โดยสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ มีกำหนดเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวในวันพุธนี้ เวลา 21.30 น.ตามเวลาไทย
ประเทศไทย ข่าวล่าสุด, ประเทศไทย หัวข้อข่าว
Similar News:คุณยังสามารถอ่านข่าวที่คล้ายกันนี้ซึ่งเรารวบรวมจากแหล่งข่าวอื่น ๆ ได้
ดาวโจนส์ฟิวเจอร์ดีดขึ้น 75 จุดเช้านี้ จับตาผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน : อินโฟเควสท์ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ดีดตัวขึ้นในช่วงเช้าวันนี้ ขณะที่นักลงทุนจับตาการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงแบงก์ ออฟ อเมริกา, มอร์แกน สแตนลีย์ และเทสลา ณ เวลา 07.12 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ปรับตัวขึ้น 75 จุด หรือ +0.22% แตะที่ 34,112 จุด ส่วนเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (14 เม.ย.) ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลง 143.22 จุด หรือ -0.42% ปิดที่ระดับ 33,886.47 จุด เนื่องจากตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ในการประชุมเดือนพ.ค. บริษัทจดทะเบียนรายใหญ่หลายแห่งของสหรัฐมีกำหนดเปิดเผยผลประกอบการในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงชาร์ลส์ ชวาบ (Charles Schwab), โกลด์แมนแซคส์, มอร์แกน สแตนลีย์, แบงก์ ออฟ อเมริกา, เน็ตฟลิกซ์, พรอกเตอร์ แอนด์ แกมเบิล, เทสลา ตลอดจนธนาคารระดับภูมิภาคและบริษัทอุตสาหกรรม โดย […]
อ่านเพิ่มเติม »
ซีอีโอเจพีมอร์แกนเตือนนักลงทุน-ภาคธุรกิจรับมือผลกระทบภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น : อินโฟเควสท์นายเจมี ไดมอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของธนาคารเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค เตือนว่า นักลงทุนและภาคธุรกิจควรวางแผนรับมือกับผลกระทบของภาวะอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นที่มีแนวโน้มเกิดขึ้นเป็นเวลานานกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ “ในเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา นักลงทุนทั่วโลกได้เห็นแล้วว่าอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นและเหตุการณ์แห่ถอนเงินฝาก (bank run) ได้สร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อธนาคารซิลิคอน วัลเลย์ แบงก์ และก่อนหน้านี้ในเดือนก.ย.ปีที่แล้ว อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นและการแข็งค่าของดอลลาร์ส่งผลให้สหราชอาณาจักรเผชิญวิกฤตหนี้สาธารณะ” “ด้วยเหตุนี้ นักลงทุนและภาคธุรกิจจึงควรเตรียมความพร้อมเพื่อมือกับผลกระทบของภาวะอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มเกิดขึ้นเป็นเวลานานกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ เพราะเมื่อสถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นก็จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ โดยเฉพาะนักลงทุนหรือธุรกิจที่ต้องพึ่งพาการกู้ยืมและแบกภาระการจ่ายดอกเบี้ย ซึ่งคนกลุ่มนี้กระจายตัวอยู่ในหลายภาคส่วนของระบบเศรษฐกิจ” นายไดมอนกล่าวภายหลังจากเจพีมอร์แกนเปิดเผยผลประกอบการประจำไตรมาส 1/2566 เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (14 เม.ย.) นายไดมอนกล่าวว่า เจพีมอร์แกนคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีแนวโน้มดีดตัวขึ้นใกล้แตะระดับ 6% ซึ่งสวนทางกับที่ตลาดการเงินคาดการณ์ว่าเฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมาอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 4% ภายในเดือนม.ค. 2567 โดยปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดอยู่ที่ระดับ 4.75% – 5.00% “ผมเตือนลูกค้าทุกคนของเจพีมอร์แกนว่าให้เตรียมตัวรับมือกับความเสี่ยงของภาวะอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ถึงเวลาแล้วที่ทุกคนจะต้องเตรียมตัวให้พร้อม อย่าทำให้การลงทุนของท่านหรือธุรกิจของท่านต้องตกอยู่ในความเสี่ยง” นายไดมอน กล่าว ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินต่างก็มีความเห็นไปในทางเดียวกันว่า การที่เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วและหลายครั้งติดต่อกันนั้น ทำให้ต้นทุนการกู้ยืมของธุรกิจต่าง ๆ ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจสตาร์ตอัปและบริษัทเทคโนโลยีที่เป็นลูกค้ารายใหญ่ของ SVB และเมื่อต้นทุนการกู้ยืมสูงขึ้น ธุรกิจเหล่านี้ก็แห่ถอนเงินฝากออกมาเพื่อนำไปใช้ในธุรกิจของตน ส่งผลให้ […]
อ่านเพิ่มเติม »
รมว.กลาโหมจีนพบ 'ปูติน' ยกย่องความร่วมมือทางทหารของทั้งสองฝ่าย : อินโฟเควสท์สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย พบกับนายหลี่ ซ่างฝู รัฐมนตรีกลาโหมของจีนที่กรุงมอสโกเมื่อวานนี้ (16 เม.ย.) โดยต่างฝ่ายต่างชื่นชมความร่วมมือทางทหารระหว่างสองประเทศ ซึ่งได้ตกลงที่จะเป็นพันธมิตรกันแบบ “ไร้ขีดจำกัด” ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ได้พบกับปธน.ปูตินในกรุงมอสโกเมื่อเดือนที่แล้ว โดยทั้งสองประเทศกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ การเมือง และการทหารให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นนับตั้งแต่ที่รัสเซียส่งทหารหลายหมื่นรายไปยังยูเครนในเดือนก.พ. 2565 วิดีโอการประชุมแสดงให้เห็นภาพของปธน.ปูตินกับนายหลี่จับมือกัน โดยมีนายเซอร์เก ชอยกู รัฐมนตรีกลาโหมรัสเซีย เข้าร่วมการประชุมด้วย “เรากำลังทำงานอย่างแข็งขันผ่านหน่วยงานทางทหารของเรา พร้อมแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เป็นประโยชน์อยู่เสมอ ร่วมมือกันในด้านเทคนิคทางทหารและจัดการฝึกซ้อมร่วมกัน” ปธน.ปูตินกล่าว พร้อมเสริมว่า การฝึกซ้อมดังกล่าวเป็นการฝึกซ้อมทั้ง 3 เหล่าทัพ ได้แก่ กองกำลังภาคพื้นดิน กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ โดยจัดขึ้นในตะวันออกไกลและในยุโรป “ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นอีกหนึ่งส่วนสำคัญที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับความสัมพันธ์ในเชิงยุทธศาสตร์ของเราที่ไว้เนื้อเชื่อใจกันอย่างยิ่ง” ปธน.ปูติน กล่าว อนึ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่นายหลี่เดินทางเยือนต่างประเทศนับตั้งแต่ที่เขาได้รับการแต่งตั้งเมื่อเดือนที่แล้ว นายหลี่กล่าวกับปธน.ปูตินว่า “ในช่วงที่ผ่านมา ความร่วมมือทางทหารและในด้านเทคนิคการทหารระหว่างรัสเซียกับจีนดำเนินไปด้วยดี” และช่วยยกระดับความมั่นคงในภูมิภาค เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว รัฐบาลจีนประกาศว่านายหลี่จะเดินทางเยือนกรุงมอสโกเพื่อพบกับเจ้าหน้าที่กลาโหมของรัสเซีย แต่ไม่ได้ระบุว่าจะมีการพบปะกับปธน.ปูตินด้วย ทั้งนี้ นายหลี่ถูกสหรัฐคว่ำบาตรมาตั้งแต่ปี 2561 จากกรณีการซื้อเครื่องบินรบและอุปกรณ์จากโรโซโบรอนเน็กซ์พอร์ต […]
อ่านเพิ่มเติม »
ตลาดหุ้นเอเชียเปิดไร้ทิศทาง นลท.จับตาบริษัทสหรัฐเปิดเผยผลประกอบการ : อินโฟเควสท์ตลาดหุ้นเอเชียเปิดไร้ทิศทางในวันนี้ ขณะที่นักลงทุนจับตาการรายงานผลประกอบการจากกลุ่มบริษัทสำคัญในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ชาร์ลส์ ชวาบ (Charles Schwab), แบงก์ ออฟ อเมริกา (Bank of America) และมอร์แกน สแตนลีย์ (Morgan Stanley) ทั้งนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 28,537.99 จุด เพิ่มขึ้น 44.52 จุด หรือ +0.15% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 20,374.51 จุด ลดลง 64.3 จุด หรือ -0.31% และ ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,337.06 จุด ลดลง 1.09 จุด หรือ -0.32% ผลประกอบการไตรมาส 1/2566 ของกลุ่มบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐจะบ่งชี้ถึงสภาวะโดยรวมในภาคการเงินสหรัฐ หลังเกิดเหตุการณ์ธนาคารซิลิคอน […]
อ่านเพิ่มเติม »
จีนเหงื่อตกหนี้เสียโครงการเส้นทางสายไหมพุ่ง กระทบสถานะการเงินประเทศ : อินโฟเควสท์โครงการเส้นทางสายไหมสมัยใหม่ หรือ โครงการ “หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง” (BRI) มูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ของจีนถูกโจมตีจากหนี้เสียที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยปริมาณหนี้ที่มีปัญหาอยู่ที่กว่า 7.8 หมื่นล้านดอลลาร์ตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ โครงการเส้นทางสายไหมสมัยใหม่ได้ทำให้จีนกลายเป็นเจ้าหนี้ระดับทวิภาคีรายใหญ่ที่สุดของโลก แต่ตัวเลขหนี้เสียบ่งชี้ว่า โครงการดังกล่าวได้กลายมาเป็นเรื่องหนักอกทางการเงินสำหรับจีนและกลุ่มธนาคารรายใหญ่ที่สุดของประเทศ โรเดียม กรุ๊ป (Rhodium Group) บริษัทวิจัยในนิวยอร์กระบุว่า กลุ่มสถาบันจีนได้ดำเนินการเจรจาใหม่หรือตัดหนี้สูญเงินกู้ประมาณ 7.85 หมื่นล้านดอลลาร์ที่ได้ปล่อยกู้เพื่อใช้ในโครงการก่อสร้างถนน รถไฟ ท่าเรือ สนามบิน และโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ ทั่วโลกในระหว่างปี 2563 ถึงสิ้นเดือนมี.ค.ปีนี้ สำนักข่าวไฟแนนเชียลไทม์สรายงานว่า ตัวเลขดังกล่าวสูงกว่าตัวเลขการเจรจาใหม่และการตัดหนี้สูญที่โรเดียมเคยบันทึกเอาไว้ที่ 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์ในช่วง 3 ปีระหว่างปี 2560 ถึงสิ้นปี 2562 ถึงกว่า 4 เท่า นายแบรด พาร์กส์ ผู้อำนวยการบริการของเอดดาต้า (AidData) ประจำมหาวิทยาลัยวิลเลียมและแมรีในสหรัฐระบุว่า จีนไม่ได้เปิดเผยตัวเลขรวมของการปล่อยสินเชื่อในโครงการ BRI ตลอดช่วง […]
อ่านเพิ่มเติม »