นายประพันธ์ ลีปายะคุณ รองอธิบดีกรมประมง กล่าวว่า จากความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงกุ้งทะเล ที่ประสบปัญหาด้านเงินทุนที่ไม่เพียงพอในการดำเนินกิจการ กรมประมงจึงได้มีการดำเนินงาน “โครงการลดต้นทุนการผลิตกุ้งทะเลเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในอุตสาหกรรมกุ้งทะเลอย่างยั่งยืน ปี 2564” (คชก.64) ด้วยการสนับสนุนการเข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแก่เกษตรกร โดยได้รับอนุมัติเงินจากกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ชดเชยดอกเบี้ย 3% ต่อปี ภายใต้วงเงินสินเชื่อรายละไม่เกิน 3 ล้านบาท ตั้งแต่วันที่กู้ไปจนถึงเดือนพ.ค. 69 ครอบคลุมพื้นที่ประกอบกิจการเพาะเลี้ยงกุ้งทะเลทั้งสิ้น 35 จังหวัด ขณะเดียวกัน จากการประชุมคณะกรรมการบริหารโครงการลดต้นทุนการผลิตกุ้งทะเลฯ ครั้งที่ 4/2565 เมื่อวันที่ 23 ส.ค. ที่ผ่านมา มีมติอนุมัติให้เพิ่ม “รูปแบบการติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar cell) ขนาดเล็ก” เป็นรูปแบบกิจกรรมหลัก ภายใต้กิจกรรมที่ 1 ลดต้นทุนพลังงานไฟฟ้า ซึ่งเป็นการติดตั้งชุด Solar cell ต่อกับเครื่องเติมอากาศ เช่น เครื่องตีน้ำ ใบพัดตีน้ำ รูทโบลเวอร์ หรืออุปกรณ์อื่นๆ แบบ 1 ชุด ต่อ 1 …
นายประพันธ์ ลีปายะคุณ รองอธิบดีกรมประมง กล่าวว่า จากความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงกุ้งทะเล ที่ประสบปัญหาด้านเงินทุนที่ไม่เพียงพอในการดำเนินกิจการ กรมประมงจึงได้มีการดำเนินงาน “โครงการลดต้นทุนการผลิตกุ้งทะเลเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในอุตสาหกรรมกุ้งทะเลอย่างยั่งยืน ปี 2564” ด้วยการสนับสนุนการเข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแก่เกษตรกร โดยได้รับอนุมัติเงินจากกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ชดเชยดอกเบี้ย 3% ต่อปี ภายใต้วงเงินสินเชื่อรายละไม่เกิน 3 ล้านบาท ตั้งแต่วันที่กู้ไปจนถึงเดือนพ.ค.
ขณะเดียวกัน จากการประชุมคณะกรรมการบริหารโครงการลดต้นทุนการผลิตกุ้งทะเลฯ ครั้งที่ 4/2565 เมื่อวันที่ 23 ส.ค.
ดังนั้น เกษตรกรจึงสามารถใช้เครื่องเติมอากาศได้ตลอดเวลาตามความต้องการ ทั้งในช่วงที่มีแสงแดดและไม่มีแสงแดด ลดต้นทุนค่าไฟฟ้าได้ชุดละประมาณ 2,000 บาทต่อเดือน โดยใช้เงินลงทุนชุดละประมาณ 3-5 หมื่นบาท อายุการใช้งานมากกว่า 20 ปี และใช้ระยะเวลาคืนทุนเพียงประมาณ 1 ปีครึ่ง เพิ่มโอกาสในการขอสินเชื่อ และได้รับการสนับสนุนเงินชดเชยดอกเบี้ยจากโครงการฯ เพิ่มมากขึ้น
“เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งทะเลที่มีความพร้อม สามารถสมัครเข้าร่วมโครงการฯ ได้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 31 ธ.ค.
ประเทศไทย ข่าวล่าสุด, ประเทศไทย หัวข้อข่าว
Similar News:คุณยังสามารถอ่านข่าวที่คล้ายกันนี้ซึ่งเรารวบรวมจากแหล่งข่าวอื่น ๆ ได้
สหรัฐเตือนตลาดคริปโทฯมีความเสี่ยง ต้องบังคับใช้กฎระเบียบเพิ่มเติม : อินโฟเควสท์สภากำกับดูแลเสถียรภาพการเงิน (FSOC) ของรัฐบาลกลางสหรัฐประกาศเตือนเกี่ยวกับตลาดคริปโทเคอร์เรนซีเมื่อวันจันทร์ (3 ต.ค.) โดยระบุว่า การนำคริปโทฯ ไปใช้อย่างแพร่หลายจะก่อให้เกิดความเสี่ยง หากตลาดยังคงขยายตัวโดยไม่มีการกำกับดูแลและบังคับใช้กฎระเบียบที่ดีขึ้น FSOC ได้ออกรายงานสำคัญฉบับแรกเกี่ยวกับคริปโทฯ โดย FSOC นำโดยกระทรวงการคลังสหรัฐ และจัดตั้งขึ้นหลังเกิดวิกฤติการเงินปี 2551 เพื่อช่วยบ่งชี้และบรรเทาภัยคุกคามต่อระบบการเงิน ความกังวลเกี่ยวกับช่องโหว่ในตลาดคริปโทฯ มีความชัดเจนมากขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา หลังเกิดความผันผวนอย่างหนักในด้านราคา และทำให้เกิดการขาดทุนครั้งใหญ่ในตลาดคริปโทฯ เมื่อตลาดคริปโทฯ ขยายตัวและมีมูลค่าถึงประมาณ 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงเวลานี้ของปีที่แล้ว เจ้าหน้าที่วิตกกังวลว่า การเก็งกำไรครั้งใหญ่และการกำกับดูแลกิจกรรมด้านสินทรัพย์ดิจิทัลที่ไม่เพียงพอ อาจส่งผลกระทบต่อระบบในวงกว้างขึ้น และเรียกร้องให้มีการประเมิน แม้ว่านับตั้งแต่นั้น ตลาดจะสูญเสียมูลค่าไปแล้ว 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ความเสี่ยงก็ไม่ได้ลดน้อยลงในขณะนี้ โฆษกกระทรวงการคลังสหรัฐระบุว่า ความผันผวนในช่วงที่ผ่านมาได้เน้นย้ำให้เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องมีมาตรการเพิ่มเติม FSCO ซึ่งรวมถึงผู้นำของธนาคารและหน่วยงานด้านการเงินทั้งหมดของสหรัฐได้เน้นย้ำว่า กฎหมายที่มีอยู่นั้นครอบคลุมกิจกรรมต่าง ๆ ในตลาดคริปโทฯ แล้ว และรายงานยังได้เรียกร้องให้หน่วยงานทุกฝ่าย รวมถึงคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ (SEC) และคณะกรรมาธิการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าสินค้าโภคภัณฑ์ (CFTC) ให้ความสำคัญกับการบังคับใช้กฎเกณฑ์เกี่ยวกับคริปโทฯ และแนะนำให้สภาคองเกรสจัดหาทรัพยากรเพิ่มเติมให้กับหน่วยงานกำกับดูแลคริปโทฯ โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (04 ต.ค. 65) FacebookTwitterLine
อ่านเพิ่มเติม »
เอกชน แนะรัฐเร่งปลดล็อกข้อจำกัด-ขับเคลื่อนดิจิทัลหนุนเศรษฐกิจฟื้นโตหลังโควิด : อินโฟเควสท์นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวในในงานสัมมนา “Thailand Economic Outlook 2023” หัวข้อ “ฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจ 2023 รอดหรือร่วง” ว่า เศรษฐกิจไทยในปี 66 จะสามารถเติบโตได้จากแรงขับเคลื่อนของการท่องเที่ยว โดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามายังประเทศไทยราว 20 ล้านคน ซึ่งยังไม่รวมนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนที่คาดว่าจะเริ่มมีการเปิดประเทศหลังจากการประชุมสมัชชาใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน และรับรองสี จิ้น ผิง เป็นผู้นำประเทศสมัยที่ 3 ซึ่งเชื่อว่าเศรษฐกิจจีนจะสามารถเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 2% จะเป็นส่วนช่วยหนุนให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ และคาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาในปี 66 ราว 7 ล้านคน ซึ่งหอการค้าไทยก็มีแผนที่จะผลักดันการท่องเที่ยวในเมืองรองให้เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว ด้านอุตสาหกรรมการแกษตรของประเทศไทยได้เตรียมผลักดันแผนการพัฒนาให้อุตสาหกรรมการเกษตรให้มีมูลค่าที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น โดยประเทศไทยมีความได้เปรียบมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์และสามารถเป็นศูนย์กลางอาหารโลกได้ มองว่าเป็นทิศทางที่ดี สำหรับการลงทุนจากต่างประเทศ จะเป็นอีกส่วนหนึ่งที่จะเข้ามาสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย โดยแนะนำให้ทุกภาคส่งนเป็นเจ้าบ้านที่ดีในช่วงของการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค (APEC) ที่จะมีขึ้น เพื่อเป็นการเชิญชวนจะเป็นส่วนช่วยให้เศรษฐกิจไทยกลับมาเติบโตได้อีกทางหนึ่งด้วย “เอกชนไทยมีความเข้มแข็งมาก และเป็นหัวจักรสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เอกชนต้องการให้รัฐบาลช่วย เช่น การปลดล็อกข้อจำกัดต่างๆ การแก้ไขกฎหมายที่เป็นข้อติดขัด รวมถึงพยายามขับเคลื่อนดิจิทัล ทรานฟอร์เมชั่น”นายสนั่น กล่าว ด้านนายเกรียงไกร …
อ่านเพิ่มเติม »
หุ้น'เนเวอร์' ร่วง 8% หลังทุ่ม 1.2 พันล้านดอลลาร์ซื้อกิจการ'พอชมาร์ก' : อินโฟเควสท์หุ้นบริษัทเนเวอร์ คอร์ป (Naver Corp) ซึ่งเป็นบริษัทอินเทอร์เน็ตยักษ์ใหญ่ของเกาหลีใต้ ร่วงลงมากที่สุดในรอบกว่าหนึ่งปีในการซื้อขายระหว่างวัน หลังประกาศเรื่องเข้าซื้อกิจการบริษัทพอชมาร์ก อิงค์ (Poshmark Inc) ซึ่งเป็นตลาดซื้อขายเสื้อผ้าแฟชั่นมือสองของสหรัฐ ผ่านข้อตกลงมูลค่าราว 1.2 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งต่ำกว่ามูลค่าแรกเริ่มในการเข้าตลาดหุ้นกว่าครึ่งหนึ่ง ทั้งนี้ เนเวอร์ระบุว่า บริษัทตกลงที่จะซื้อหุ้นของพอร์ชมาร์กในราคาหุ้นละ 17.90 ดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าราคาในตลาดประมาณ 15% เมื่อเทียบกับราคา 15.57 ดอลลาร์ต่อหุ้นในช่วงปิดตลาดเมื่อวันจันทร์ (3 ต.ค.) ข่าวการเข้าซื้อหุ้นพอชมาร์กครั้งนี้ ทำให้หุ้นเนเวอร์ดิ่งลงมากถึง 7.8% ในตลาดหุ้นเกาหลีใต้ในวันนี้ (4 ต.ค.) แตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2563 โดยก่อนหน้านี้ นักวิเคราะห์จากซิติ กรุ๊ปเพิ่งออกมาปรับลดอันดับหุ้นลงสู่ “ขาย” โดยให้เหตุผลว่า อัตราส่วนราคาต่อกำไรของเนเวอร์นั้นคำนวณได้ยากเมื่อเทียบกับบริษัทอินเทอร์เน็ตรายอื่น ๆ ขณะที่ หุ้นพอชมาร์กถูกระงับการซื้อขายจากข่าวดังกล่าว หลังปรับตัวลง 0.6% โดยพอชมาร์กจะกลายเป็นบริษัทลูกในสหรัฐเพียงหนึ่งเดียวของเนเวอร์ และจะยังคงอยู่ภายใต้การดูแลของนายมาณิช จันทรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและทีมบริหารของเขาต่อไป “ดิฉันคิดว่าตลาดแปลกใจต่อขนาดของข้อตกลงซื้อกิจการพอชมาร์ก โดยเราจะชี้แจงให้นักลงทุนทราบเกี่ยวกับแผนความร่วมมือเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการควบรวมกิจการครั้งนี้” นางเชว ซูยอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเนเวอร์กล่าว …
อ่านเพิ่มเติม »
'คิม คาร์เดเชียน' จ่ายค่าปรับกว่าล้านดอลล์ ฐานอุบเงียบรับเงินโปรโมตคริปโทฯ : อินโฟเควสท์คิม คาร์เดเชียน เจ้าแม่เรียลลิตี้คนดังของสหรัฐจะต้องจ่ายค่าปรับ 1.26 ล้านดอลลาร์ให้กับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) ของสหรัฐจากข้อกล่าวหาที่ว่าเธอละเมิดกฎระเบียบของสหรัฐ ด้วยการสนับสนุนเหรียญคริปโทเคอร์เรนซีผ่านช่องทางสาธารณะ โดยไม่ยอมเปิดเผยว่าเธอได้รับค่าโฆษณา ทั้งนี้ SEC เปิดเผยเมื่อวันจันทร์ (3 ต.ค.) ว่า คาร์เดเชียนได้รับเงิน 250,000 ดอลลาร์เป็นค่าจ้างสำหรับการโพสต์ข้อความโฆษณาเหรียญอีแม็กซ์ (EMAX) ซึ่งเป็นสินทรัพย์คริปโทฯ ของอีเธอเรียมแม็กซ์ผ่านทางบัญชีอินสตาแกรมส่วนตัว โดยคาร์เดเชียนไม่ได้ยอมรับหรือปฏิเสธข้อกล่าวหาในระหว่างยุติข้อพิพาทดังกล่าว แต่เธอได้ตกลงที่จะไม่ออกมาสนับสนุนสินทรัพย์ดิจิทัลใด ๆ เป็นเวลา 3 ปี SEC ระบุด้วยว่า แม้คาร์เดเชียนติดแฮชแท็ก AD (โฆษณา) เอาไว้ด้านล่างข้อความอินสตาแกรมในปี 2564 แล้ว แต่นักลงทุนไม่ได้รับรู้ว่า เธอได้รับเงินค่าโฆษณา สำนักข่าวบลูมเบิร์กเปิดเผยถ้อยแถลงของนายแพทริก กิบส์ หุ้นส่วนบริษัทคูลีย์ซึ่งรับหน้าที่เป็นทนายความส่วนตัวของคาร์เดเชียนว่า คาร์เดเชียนสะสางคดีดังกล่าวเสร็จเรียบร้อยแล้วเพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดข้อพิพาทยืดเยื้อ โดยเธอให้ความร่วมมือกับ SEC อย่างเต็มที่ตั้งแต่ต้นและเต็มใจที่จะทำทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือ SEC ในประเด็นนี้ ก่อนหน้านี้ SEC เคยออกมาเตือนให้เหล่าคนดังชี้แจงต่อนักลงทุนให้ชัดเจนว่า พวกเขาได้รับค่าเงินค่าโฆษณาคริปโทเคอร์เรนซี โดยในปี 2561 SEC ได้สั่งปรับฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ …
อ่านเพิ่มเติม »
กรมปศุสัตว์ ตั้งศูนย์ฯ ป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติเร่งสำรวจความเสียหายเกษตรกรจากพายุโนรู : อินโฟเควสท์นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า จากการที่ประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากพายุ “โนรู” จนส่งผลให้เกิดอุทกภัยเป็นวงกว้าง ส่งผลกระทบต่อสัตว์เลี้ยงของเกษตรกรในหลายพื้นที่ จนทำให้เกษตรกรได้รับความเดือดร้อน ขาดแคลนอาหารสำหรับสัตว์เลี้ยง บางพื้นที่มีการอพยพสัตว์เลี้ยงไปบนพื้นที่สูงที่มีความปลอดภัย มีสัตว์เจ็บป่วยที่ต้องการการดูแลรักษาอย่างทันท่วงที ซึ่งในเบื้องต้น กรมปศุสัตว์ได้ระดมสรรพกำลังออกไปให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ ทั้งด้านการอพยพสัตว์ เสบียงสัตว์ ตลอดจนการรักษาพยาบาลสัตว์ เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนและลดความเสียหายให้กับเกษตรกร นอกจากนี้ กรมปศุสัตว์ได้มีการเตรียมความพร้อมในการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ที่ประสบภัยพิบัติ ในปี 2566 ได้แก่ ด้านการบริหาร โดยการจัดตั้ง “ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติด้านปศุสัตว์ (ศปภ.ปศ.)” ซึ่งมีอธิบดีกรมปศุสัตว์เป็นผู้อำนวยการศูนย์ ส่วนด้านเสบียงสัตว์สำรอง เพื่อความมั่นคงด้านอาหารสัตว์ โดยศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหารสัตว์ 32 แห่งทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น 5,366 ตัน พร้อมทั้งจัดถุงยังชีพสำหรับสัตว์ จำนวน 3,000 ถุง สำรองยานพาหนะ 118 คัน จัดหน่วยสัตวแพทย์เคลื่อนที่ 161 ทีม จุดอพยพสัตว์ 1,919 จุด และเวชภัณฑ์ดูแลสุขภาพสัตว์ประจำ 9 เขต สำหรับสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นในครั้งนี้กรมปศุสัตว์ ได้ลงพื้นที่เร่งสำรวจจังหวัดที่ได้รับผลกระทบด้านปศุสัตว์ พบว่า …
อ่านเพิ่มเติม »
SCB มองโอกาส M&A เสริมศักยภาพ ทยอย spin-off ธุรกิจในเครือ-สร้างยูนิคอร์น : อินโฟเควสท์นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอสซีบี เอกซ์ (SCB) เปิดเผยว่า บริษัทยังคงมองหาโอกาสในการทำดีล M&A เพื่อนำธุรกิจที่ดีเข้ามาช่วยเสริมศักยภาพและต่อยอดธุรกิจในเครือ โดยมองหาโอกาสที่น่าสนใจอยู่ตลอดเวลา แต่ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแผนการเจรจาในแต่ละดีลที่บริษัทสนใจ ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนที่สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับบริษัทหลังปรับโครงสร้างธุรกิจ เอสซีบี เอกซ์ วางแผนการดำเนินงานในช่วง 5 ปีนี้ตั้งเป้าหมายธุรกิจสินเชื่อรายย่อยและบริการการเงินแบบดิจิทัล และธุรกิจแพลตฟอร์มเทคโนโลยี จะมีสัดส่วนรายได้รวมกันมากกว่า 30% พร้อมกับการวางแผนนำธุรกิจสินเชื่อรายย่อยบางธุรกิจในกลุ่มต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มมากขึ้น และสร้างการเติบโตของธุรกิจนั้นๆได้ด้วยตัวเองมากขึ้น ผ่านการนำเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯภายใน 5 ปี และในส่วนของธุรกิจแพลตฟอร์มดิจิทัลต่างๆของบริษัทภายใน 5 ปี ตั้งเป้าที่จะเริ่มสร้างกำไรขึ้นมา และก้าวขึ้นเป็นธุรกิจยูนิคอร์นได้ การปรับโครงสร้างของเอสซีบี เอกซ์ เป็นการปรับเปลี่ยนธุรกิจเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงภาวะแวดล้อมทางธุรกิจ ทั้งเทคโนโลยี และพฤติกรรมของลูกค้า โดยที่ย่งคงมีวิสัยทัศน์ในการเป็นกลุ่มเทคโนโลยีทางการเงินชั้นนำในอาเซียน โดยบริษัทได้เดินหน้าในการแสวงหาโอกาสในการทำธุรกิจใหม่ๆ โดยเฉพาะทางด้านเทคโนโลยีให้กับกลุ่มบริหารจัดการเงินทุนของกลุ่มให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนต่อบริษัทและผู้ถืงหุ้นในระยะยาว โครงสร้างธุรกิจของเอสซีบี เอกซ์ จะดำเนินงานภายใต้ 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ กลุ่มแรกธุรกิจการเงินแบบดั้งเดิม คือ ธุรกิจธนาคาร ธนาคารไทยพาณิชย์ ธุรกิจการบริหารจัดการสินทรัพย์ บลจ.ไทยพาณิชย์ และเอสซีบี จูเลียส แบร์ …
อ่านเพิ่มเติม »